Social Icons

twitterfacebookgoogle pluslinkedinrss feedemail

23 มี.ค. 2560

เดินทางไปพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติ พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จ.ปทุมธานี

เดินทางไปพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติ พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จ.ปทุมธานี

เริ่มจากหน้าวัดเสมียนนารี โดยขึ้นรถเมล์ ปอ.510 สังเกตป้ายหน้ารถเมล์ว่าสิ้นสุดที่ใด บังเอิญวันนั้นลืมดูป้ายหน้ารถว่าสิ้นสุดที่ไหน รถเมล์ที่ขึ้นไปแล้ว สิ้นสุดที่ธรรมศาสตร์ ไม่ผ่านนวนคร

แต่ก็ไม่เป็นไร จากวัดเสมียนนารีไปธรรมศาสตร์ ราคา 23 บาท ถ้าลงฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต ราคา 19 บาท ถามกระเป๋ารถว่าจะต่อสายไหน สาย 338 จ้า หรือ รถตู้ไป นวนคร ราคา 15 บาท

ถึงนวนครแล้วข้ามสะพานลอยไปอีกฝั่ง ก็จะเจอพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติ ที่อบรมอยู่ไกล เดินเข้าไปไม่ไหว ต้องอาศัยรถรางเข้าไปจ้า ลงรถรางปุ๊บ รีบเดินไปห้องอบรม หัวข้อการบรรยาย เกี่ยวกับปั๊มน้ำกับโซล่าเซลล์ ได้ซื้อหนังสือเกี่ยวกับการติดตั้งโซล่าเซลล์มา 2 เล่ม กับ CD 1 แผ่น ชุดละ 150 บาท

หลังจากอบรมเสร็จก็ต้องรีบกลับไปจองตั๋วที่ นครชัยแอร์ ก็เลยไม่ได้เดินดูให้ทั่ว มาครั้งหน้าต้องหาเวลามาเดินให้ทั่วพิพิธภัณฑ์ เดินมารอรถสาย 338 ไม่เห็นรถเมล์เลย มีแต่รถตู้ สาย 338 ตลอดสายราคา 15 บาท (ฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต-ร.ร. เชียงรากน้อย) ฟิวเจอร์-บางขันธ์นวนคร ม.ร.ว.วไลยอลงกรณ์ -ประตูน้ำ-พระอินทร์-ร.ร.เชียงรากรังสิต

จากนั้นต่อรถเมล์สาย ปอ.510 ไปลงวัดเสมียนนารี ราคา 19 บาท จากนั้นเดินมาเรื่อยๆ สัก 800 เมตร ก็มาถึง นครชัยแอร์ ตรงนี้เป็นที่เก็บรถ ด้วยความมั่นใจว่าใช่ เดินเข้าไปอย่างมั่นใจ รปภ.เรียก บอกว่าไม่ใช่สถานที่รับส่งผู้โดยสาร ต้องต่อรถไปอีก 5 นาที เลยเรียกรถแท็กซี่ขึ้นทางยกระดับ ราคา 39 บาท แล้วก็ไปจองตั๋วกลับขอนแก่น ราคา 365 บาท (Gold Class) สำหรับท่านที่เป็นสมาชิก ราคา 347 บาท ต่างกัน 18 บาท ค่ะ

ขึ้นรถเวลา 15.00 น. ถึงขอนแก่น ประมาณ 4 ทุ่มกว่า แว๊นมอเตอร์ไซค์กลับหอพัก ฝากรถมอเตอร์ไซค์ วันละ 15 บาท 2 วัน 30 บาท ถึงห้องก็ 5 ทุ่มค่ะ

ขอขอบคุณประสบการณ์ในการเดินทางในครั้งนี้ ขอบคุณท่านที่บอกเส้นทางและคำแนะนำ ขอบคุณ google map ที่ช่วยหาเส้นทางทำให้อุ่นใจ ไม่น่ากลัวมากกับการเดินทางคนเดียว

22 มี.ค. 2560

ครั้งแรกกับการเข้ากทม. คนเดียว โดยที่ไม่มีพ่อไปด้วย

ครั้งแรกกับการเข้ากทม. คนเดียว โดยที่ไม่มีพ่อไปด้วย

ครั้งแรกกับการจองตั๋วกับนครชัยแอร์ บขส. ขอนแก่น แห่งที่ 3 ขอนแก่น

การจองมีหลายช่องทางเช่น ไปจองที่สถานที่จำหน่ายตั่วเลย การจองผ่านเว็บไซต์ การโทรจอง การไลน์ไปจองค่ะ มาดูค่ะ ว่า จากขอนแก่นไปกทม. ราคา เท่าไหร่ สำหรับคนทั่วไป ราคาจะอยู่ที่ 365 บาท ถ้าเป็นสมาชิกราคา 347 บาท ต่างกันอยู่ที่ 18 บาท ซึ่งไปครั้งนี้ ขึ้นรถที่ขอนแก่น เวลา 23.30 น. ถึง กทม. (ศูนย์นครชัยแอร์) เวลา 05.25 น. ต่อรถแท็กซี่ ไปวัดเสมียนนารี ราคาเริ่มต้น ราคา 35 บาท ไปถึงจุดหมายราคา 49 บาท ให้ 100 บาท แต่ทอนให้ 50 บาท โอเคเข้าใจให้ไปเถอะ 555++

ไปนั่งให้สว่างก่อนตรงที่รอรถสาย 67 ข้างวัดเสมียนนารีสายนี้จะผ่านไปไหนไม่รู้ รู้ว่าผ่านที่พักเพื่อนแต่ที่พักเพื่อนเดินเข้าไป 500 เมตร ก็ถึงแล้ว โทรหาเพื่อน หลายรอบ สงสัยนอนดึก

เวลา 06.30 น. เพื่อนโทรกลับ พาเข้าที่พัก

เวลา 09.45 น. เพื่อนพาไปจตุจักร โดยขึ้นรถเมล์ สาย ปอ.510 จากวัดเสมียนนารี ไปจตุจักร ราคา 13 บาท เพื่อไปขึ้น bts ไปสนามกีฬาแห่งชาติ

ถึงแล้วจตุจักร ก่อนอื่นไปซื้อตั๋วก่อนเลย ก็ดูป้ายอธิบายการซื้อตั่วไปสนามกัฬาแห่งชาติ ราคา 42 บาท ก็หยอดเหรียญให้ครบ ถ้าเกิน ระบบจะทอนเงินพร้อมบัตร จากนั้นก็เดินไปสอดบัตรผ่านช่องเข้า สังเกตลูกศรเข้าของบัตรผ่านเข้า แล้วรับบัตรคืน

จากนั้นเดินขึ้นไปข้างบนอีกชั้นเพื่อไปรอรถไฟฟ้า bts สังเกตป้ายนิดหนึ่ง ว่าไปทุกสถานี เมื่อ bts มาแล้วก็ขึ้นได้เลย ระหว่างที่ขบวน bts เคลื่อนผ่านแต่ละสถานี จะมีเสียงประกาศบอกผู้โดยสารตลอดเส้นทาง ว่าสถานีถัดไปที่จะถึง ฟังให้ดีนะ ว่าถึงไหนแล้ว จะได้ไม่หลงสถานี ไม่งั้นเสียเวลาต่อ bts กลับแน่นอน และ บัตรที่ถืออยู่ให้เวลา 2 ชั่วโมง ในการอยู่ในสถานี อยู่เกินจะมีการปรับเงิน อันนี้มีเพื่อนเล่าให้ฟัง

เมื่อถึงสถานีสยาม ก็ต้องลงเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง โดยเดินขึ้นไปอีกชั้นเพื่อรอไปสนามกีฬาแห่งชาติ สังเกตป้ายนะคะ จะบอกว่าไปสนามกีฬาแห่งชาติ เมื่อถึงสถานีปลายทาง ก็ผ่านช่องคืนบัตรแล้วก็เดินออกสถานี

เป้าหมายมาที่นี้คือ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพราะมีการจัดนิทรรศการของโครงการคนกล้าคืนถิ่น ภายในงานมีการรับสมัครเข้าโครงการคนกล้าคืนถิ่น ลงทะเบียนจากสื่อออนไลน์ได้เลย ภายในงานได้รับความรู้ในการเข้าอบรมคนกล้าคืนถิ่น การแสดงผลงาน การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเกษตร เช่น ชา ข้าวอินทรีย์ ผ้าแพร การสาธิตระบบซีลสุญญากาศที่ช่วยใรการเก็บผักได้นาน การปักชำแบบควบแน่น จากลุงเฉลิม ถาม-ตอบเกี่ยวกับเกษตรจากปราชญ์ชาวบ้าน การเสวนาหัวข้อเกี่ยวกับเทคโนโลยีกับเกษตร 4.0

 

ขอแนะนำการปรับปรุงดิน

การปักชำแบบควบแน่น จากลุงเฉลิม

ท่านที่พลาดโอกาสไปชมนิทรรศการ ไม่ต้องเสียใจค่ะ สามารถติดตามเพจเฟสบุ๊ค คนกล้าคืนถิ่น

ขอขอบคุณ

ผู้จัดกิจกรรมดีๆ และทีมงานโครงการคนกล้าคืนถิ่นที่ให้ความรู้และโอกาสในครั้งนี้ค่ะ

ขอขอบคุณเพื่อนเมย์ที่พาขึ้น bts ครั้งแรกและ ตอนกลับที่พัก ให้กลับเองนะ ( ไม่หลงเลย แต่ลุ้นมาก ว่าจะขึ้นถูกหรือเปล่า 555++ )

20 ก.พ. 2560

จุดเริ่มต้นกับคนต้นแบบที่กล้าคิดกล้าทำ

จุดเริ่มต้นกับคนต้นแบบที่กล้าคิดกล้าทำ

จุดเริ่มต้นของการคิดจะกลับบ้าน เกิดจากการทำงานไกลบ้าน เพื่อสร้างความร่ำรวย แต่เมื่ออยู่นานไป ทำให้นึกถึงความสุขที่มาจากการที่มีสุขภาพดี ชีวิตไม่วุ่นวาย ชีวิตที่ได้อยู่กับธรรมชาติ ที่ไม่มีมลพิษจากจราจรติดในเมือง ชีวิตที่เร่งรีบ

ดังนั้นจึงหาตัวอย่างและต้นแบบที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ จึงได้หาข้อมูลจาก Youtube

1) หอมแผ่นดิน ฉันคือชาวนา

เผยแพร่เมื่อ 4 มิ.ย. 2014

เด็กสาวที่มีความเด็ดเดียว ตัดสินใจทิ้งความรู้ระดับปริญญาตรีกลับมาทำนาที่บ้าน โดยมุ่งหวังให้ที่บ้าน เลิกการใช้สารเคมีและหันมาทำเกษตรอินทรีย์ ปลูกข้าวอินทรีย์ เพียงเพราะต้องการให้ครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรง แม้จะต้องยืนอยู่บนเส้นทางของความเชื่อและความขัดแย้ งกับ พ่อ และแม่ จนถึงวันนี้ มิ้นท์ กลายมาเป็นแรงบัลดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ และรุ่นเก่ามากมาย มิ้นท์ มณีกาญจน์ บุญส่ง

แหล่งข้อมูล https://www.youtube.com/watch?v=ios6bRZMjpI

2) หอมแผ่นดิน ตอน หญิงแกร่งแห่งท้องทุ่ง

เผยแพร่เมื่อ 14 ส.ค. 2013

จากผุู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ชอบการเกษตร ไม่มีความคิดที่จะกลับมาทำนา แต่ด้วยชะตาที่พลิกผัน ทำให้มาถึงวันที่หวนคืนนา แต่การกลับมาในครั้งนี้ ทำให้รู้ว่า ชาวนา เป็นอาชีพที่ทำให้เธอมีความสุข ความสุขที่เำกิดจากการทำนาในรูปแบบของตัวเอง คือ การทำนาโยน วันนี้เธอคือชาวนาที่สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตัวเอง

แหล่งข้อมูล https://www.youtube.com/watch?v=fVLI2OkcZco

ย้อนมาดูตัวเองแล้ว อยากกลับบ้านไปทำเกษตร แต่ครอบครัวรับไม่ได้ที่จะมาเป็นเกษตรกร มองว่าเราทำไม่ได้ อยากให้รับราชการ เพื่อที่จะไม่ได้ลำบากและกลัวจะทำงานหนักไม่ได้

ช่วงสิ้นเดือน หรือช่วงวันหยุดจะกลับบ้านไปช่วยงานเกษตรที่บ้าน วันไหนมีขายผักตอนเย็น วันนั้นจะรีบตื่นตี 4 มาหุงข้าว แม่ะทำกับข้าว เมื่อทานข้าวเสร็จ ก็รีบไปเก็บผักมาล้าง เลือกใบไม่สวยออก จากนั้นก็นำมามัดเป็นกำ

เมื่อบ่าย 3 แม่ก็จะเอารถมาเข็น ผูกกับท้ายรถจักรยานยนต์ ขับไปขายที่ตลาดคลองถม ซึ่งจะขายวันอังคาร ศุกร์ และอาทิตย์

ช่วงเทศกาลก็ไปขายช่วยท่าน มีลูกค้าที่หลากหลาย ทำให้ได้เรียนรู้วิธีการขาย การพูดคุยกับลูกค้าอย่างสนุกสนาน มีลดแลกแจกแถมกันไป

บางครั้งขายหมด ก็ขับรถไปสวนเก็บผักมาขายเพิ่ม ซึ่งห่างจากบ้าน 7-8 กิโลเมตร

ช่วงต้นเดือนมกราคม ช่วงปีใหม่ ก็ไปเก็บข้าวโพด

ช่วงต้นเดือนมีนาคม ก็ไปเก็บเกี่ยวถั่วเหลือง ถ้าตรงกับเสารื-อาทิตย์

บางช่วงช่วยท่านตัดอ้อย อ้อยล้มทำให้ยากต่อการตัดอ้อย

จะเห็นได้ว่าท่านทำเกษตรเชิงเดี่ยว แต่อยากกลับไปทำเกษตรแบบผสมผสาน จึงมองหาเส้นทางและแนวทางในการสร้างความฝัน จึงมองโครงการ 1 ไร่ 1 แสน กับ โครงการคนกล้าคืนถิ่น

แล้วสักวันเราต้องกลับบ้านไปทำให้สำเร็จจะได้อยู่กับครอบครัว ชีวิตที่สงบเรียบง่ายกับธรรมชาติ

โครงการคนกล้าคืนถิ่น มีใครกล้าไหมค่ะ

คนกล้าคืนถิ่น

คุณสมบัติผู้สมัคร
  • 1) มีความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองให้ใช้ชีวิตในวิถีเกษตรยั่งยืน ได้อย่างมั่งคั่ง อยู่ได้จริง
  • 2) มีความสามารถทางด้านการใช้เทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต อีเมลล์
  • 3) มีความสามารถในการใช้ social media ในการสื่อสาร เช่น line Facebook
  • 4) มีทัศนคติที่ดี เปิดกว้างพร้อมเรียนรู้
  • 5) เข้าอบรมบ่มเพาะเป็นระยะเวลาติดต่อกัน 5 วัน 4 คืน ในช่วงระหว่างเดือน เมษายน ถึง มิถุนายน และลงแปลงปฏิบัติจริงได้ครบ 5 เดือนหลังจากนั้น
  • 6) มีที่ดินสำหรับลงแปลงเข้าร่วมกิจกรรมของโครงการ 1-3 ไร่
  • 7) อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป
  • 8) พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับโครงการในด้านต่างๆ

สามารถมาสมัครได้ที่งานคนกล้าถิ่น Digital Famer

วันที่ 3-5 มีนาคม 2560

ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

(ผู้ที่นำรถมาสามารถจอดรถได้ที่สนามกีฬาแห่งชาติ)

**หลังจากวันที่ 3-5 มี.ค. สามารถติดตามการรับสมัครได้ที่เพจ

แหล่งข้อมูลทาง Facebook คนกล้าคืนถิ่น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

คนกล้าคืนถิ่น

ข้อคิดจากหนังสือ คาถาชีวิต

หนังสือ คาถาชีวิต

ผู้แต่ง วิกรม กรมดิษฐ์

หนังสือ คาถาชีวิต เป็นหนังสือที่ให้ข้อคิดที่ดี ซึ่งคุณวิกรม ท่านได้ให้ข้อคิด

เมื่อได้อ่านเล่มนี้ มีความประทับใจอยู่หลายเรื่อง วันนี้เลยขออนุญาต นำเนื้อหาจากหนังสือของท่าน มาเป็นคติเตือนใจและข้อคิดในบทความนี้ค่ะ

"คนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่นั่นไม่ใช่ข้อขีดคั่นที่จะทำให้คนที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนต้องจมปลักอยู่ในความยากจนตลอดไป หากเขาเหล่านั้นใฝ่หาความรู้ มีความขยัน อดทน ประกอบแต่คุณงามความดี และไม่งอมืองอเท้า ย่อมประสบความสำเร็จเสมอ จึงไม่แปลกอะไร ที่เราได้เห็นกันแล้วว่า คนที่ประสบความสำเร็จสามารถสร้างชื่อเสียง สร้างธุรกิจเงินล้านมากมายนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ต่างจากคนที่เกิดมาในตระกูลร่ำรวยที่มักจะทะนงตนในทางผิด ถือว่าร่ำรวยแล้วจึงไม่คิดขวนขวายเท่าที่ควร "

ข้อความข้างต้น มาจากหนังสือคาถาชีวิต หน้าที่ 124

จากข้อความทำให้คนจนอย่างงเราที่ได้อ่านมีกำลังใจในการต่อสู้การทำงานในเมืองไกลบ้าน ไม่รู้อีกนานไหมที่จะได้กลับบ้าน จะรีบเก็บเงินแล้วกลับไปอยู่กับครอบครัว

ขอเป็นกำลังใจกับคนที่ทำงานไกลบ้านนะคะ